ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดที่ทราบ หรือมีประสบการณ์โดยตรงกับความลึกลับอีกอย่างหนึ่ง คือเรื่องประหลาดเกี่ยวกับกบซึ่งดูเหมือนจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานานทั้งๆ ที่จำศีลอยู่ในก้อนหิน
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ได้มีข่าวปรากฏอยู่เสมอว่าพวกกรรมกรขุดถ่านหินหรือคนงานที่ทำงานอยู่ในบ่อถ่านหิน ขณะที่ทำการระเบิดหินหรือขุดถ่านหินขึ้นมาจากบ่อบางครั้งก็จะมีกบหรือคางคกกระโดดออกมา
ตัวอย่างที่เห็นจริงจังรายหนึ่งเดี่ยวกับ “กบที่จำศีลในโพรงหิน” คือเมื่อนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษชื่อ ดร.แจ๊ค เทรียกัส (DR.JACK TREAGUS) แห่งมหาลัยแมนเซสเตอร์เป็นผู้ค้นพบและที่ ไวท์วัทสัน (WHITE WATSON) นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษผู้มีชื่อของมณฑลดาร์บี้เชียร์ (DERBYSHIRE) บันทึกไว้รายงานประจำปี 1811 เข้าได้เขียนไว้ว่า “ในเมืองโบลสโสเวอร์ฟิลด์ (BOLSOVER FIELD) เมื่อปี 1795 ขณะที่พวกคนงานกำลังทุบหินปูนซึ่งมีน้ำหนักประมาณหนึ่งตันครึ่ง ก็ได้พบคางคกตัวหนึ่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ฝังตัวอยู่ในก้อนหินปูนก้อนนั้น แต่เมื่อมันถูกเอาออกมาจากโพรงหินแล้ว มันก็ได้เสียชีวิตทันที” รายงานอีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกังคางคก ซึ่งถูกตั้งชื่อว่าโอลด์ริพ (OLD RIP) ซึ่งดูเหมือนจะยังมีช๊วิตอยู่หลังจากที่ได้ฝังตัวอยู่ในหินที่เป็น “ศิลาฤกษ์” ของที่ทำการศาลแห่งหนึ่งในเมืองเชนแน็คทาดี้ (SCHENECTADY) มาเป็นเวลากว่า 30 ปี
ด้วยความฉงนฉงายเมื่อได้อ่านรายงานทำนองนี้ นักธรรมชาติวิทยาผู้มีชื่อเยงชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ ดร. วิลเลี่ยม บัคแลนด์ (DR WILLIAM BUCKLAHD) ได้นำเดินการทดลองเพื่อหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วยกรรมวิธีที่ค่อนข้างจะวิตถาร ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 1875 ดร. บัคแลนด์ได้ทำการฝังตัวคางคกจำนวน 24 ตัว ไว้ในช่องเล็กๆซึ่งผนึกอย่างเรียบร้อยโดยบางตัวไปตามช่องหินปูนที่ปิดทึบและบางตัวก็ผนึกไว้ในช่องหินปูนเหล่านั้น เป็นเวลากว่าปีคือเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1976 คางคกทั้งหมดที่ถูกผนึกอยู่ในช่องหินปูนที่แน่นทึบนั้นตายหมด และใด้ตายไปแล้วเป็นเวลาตั้งหลายเดือน แต่คางคกบางตัวที่ถูกผนึกอยู่ในช่องหินปูนที่มีรุเล็กๆพรุนอยู่นั้นยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้ตอนหลังจะตายเพราะทดอาหาร เมื่อมันต้องถูกนำไปผนึกอยู่ในช่องหินปูนต่อไปอีกหนึ่งปีในนามวิทยาศาสตร์ คางคกบางตัวซึ่งถุกนำไปฝังไว้ในโพรงของต้นแอบเปิ้ล และอุดปากโพรงหินโดยไม่มีอากาศเลยเป็นเวลาถึงหนึ่งปีได้และก็เป็นที่แน่นอนว่ามันไม่อาจจะทนอยู่ถึง 2ปี โดยไม่ได้กินอาหารได้ ดร.บัคแลนด์เขียนไว้ว่า
“…..ข้าพเจ้าคิดว่า เราอาจจะได้พบคำตอบของปรากฏการณ์ทำนองนี้ได้จากการศึกษาสังเกตนิสัยของสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้ และรวมทั้งพวกแมลงต่างๆ ที่เป็นอาหารของมันด้วยความพยายามขั้นแรกของลูกคางคก ทันทีมันพ้นจากสถาวะของลูกอ๊อด และโผ่ลขึ้นมาจากน้ำแต่ละตัวเมื่อยังมีขนาดเล้กอยู่อาจจะเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรงหิน โดยแทรกตัวเข้าไปตามรูหรือรอยแตกเล็กๆ และเมื่อเข้าไปในโพรงหิน โดยแทรกตัวเข้าไปตามรุหรือรอยแตกเล็กๆ และเมื่อเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรงหิน โดยแทรกตัวเข้าไปตามรูหรือรอยแตกเล็กๆ และเมื่อเข้าไปในโพรงหินนั้นแล้วมันก็อาจจะได้พบสิ่งที่มันสามารถกินเป็นอาหารได้เป็นจำนวนมาก เพราะแมลงเล็กๆ เหล่านี้ก็ได้เข้าไปหลบอยู่ในโพรงหินนั้นด้วยวัตถุประสงค์แบบเดียวกับลูกคางคกเหมือนกัน เมื่อมีอาหารสมบูรณ์เช่นั้นในไม่ช้า คางคกเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นจนไมสามารถจะออกทาจากรอยแยก หรือรูเล็กๆที่มันเข้าไปเมื่อตอนแรกได้อีก พวกคนงานที่ไปพบคางคกถูกฝังอยู่ในหินอาจจะไม่ได้สังเกตว่าหินนั้นมีรู หรือรอยแตกอยู่ก็ได้ เพราะพวกเขาก็เป็นพวกเดียวที่ทำงานประเภทนี้ และเป็นผู้ที่พบคางคกฝังอยู่ในโพรงหิน หรือโพรงไม้นั้น”
คำชี้แจงเช่นนี้น่าจะเป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างยิ่งเกี่ยวกับคางคก ที่ถูกแปรสภาพเป้นเหมือนซากอาบยาที่มีตัวอย่างเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองไบรทตัน (BRIGHTON MUSEUM) ซึ่งเป็นหัวเมืองตากอากาศชายทะเลของประเทศอังกฤษ พร้อมไปด้วยโพรงหินที่มันได้เข้าไปจำศีลอยู่เหตุที่มันถูกค้นพบก็เมื่อคนงานสองคนได้พบก้อนหินขนาดเบา ที่มีลักษณะประหลาดก้อนหึ่งที่เมืองลิวเวส (LEWES) และได้ก่อให้เกิดความตื่นเต้นไม่ใช่น้อยในตอนนั้น มันอาจจะเป็นตัวอย่างเพียงเดียวที่รู้จักเกี่ยวกับ “คางคกที่เข้าไปจำศีลอยู่ในก้อนหิน” ที่อยุ่ในความครอบครองของมนุษย์ละก็เป็นการพิสูจน์ว่า ข่าวลือเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีมูล อันที่จริงหลังจากที่มีพอเจ้าคางคกที่กลายเป็น “มัมมี่” ตัวนี้เข้า นักวิทยาศาสตร์ที่ไปทำการตราวจสอบเรื่องนี้ก็ได้พบรูเล็กๆ รูหนึ่งอยู่ตรงปลายด้านหนึ่งของหินก้อนนั้น ซึ่งต่อมารูเล็กๆนี้ก้มีโคลนของหินช็อล์คเข้าไปอุดจนตันไปหมด
หลักการคร่าวๆก็คือพวกสัตว์เลือดเย็น-เลือดอุ่น รวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมลงและนกบางชนิดมีการปรับตัวเพื่อเผชิญกับฤดูหนาวโดยการสะสมอาหาร(กินเผื่อไว้เยอะๆ)หาที่สงบปลอดภัย แล้วทิ้งตัวลงนอนนิ่งๆในนั้นจนกว่าอากาศข้างนอกจะเริ่มอุ่นขึ้นพวกเขาก็จะตื่นและทยอยออกมาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่
สัตว์ที่จำศีลจะแตกต่างกับสัตว์ที่นอนหลับ สัตว์ที่นอนหลับนั้นร่างกายของพวกเขาจะขยับบ้างเป็นบางครั้งและสมองก็จะสั่งงานตามปกติ สัตว์ที่นอนหลับสามารถที่จะตื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
การจำศีลของสัตว์นั้นมีอยู่สองชนิดคือ
True Hybernator คือการจำศีลจริง ลักษณะการจำศีลของสัตว์พวกที่จำศีลจริงนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการตายมากเพราะว่าจังหวะการเต้นของหัวใจของพวกเขาจะเต้นช้าลงๆ และอุณหภูมิในร่างกายของพวกเขาก็จะลดลงใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอกอย่างมาก การหายใจก็จะเป็นไปอย่างช้าๆแผ่วเบา สัตว์เหล่านั้นต้องการใช้เวลานานมากในการตื่นขึ้นและขยับตัวเพื่อกลับคืนสู่สภาวะปกติ สัตว์บางจำพวกเช่น หมี ไม่มีการจำศีลแบบ True Hybernator นี้
ในช่วงปลายหน้าร้อน หรือฤดูใบไม้ผลิ สัตว์ที่จะทำการจำศีลนี้จะต้องออกหากินบ่อยพวกเขาจะต้องตระเตรียมกินอาหารจำนวนมากเพื่อกักตุนเอาไว้ ช่วงที่พวกเขาจำศีลร่างกายของพวกเขาจะอยู่ได้ก็โดยธาตุอาหารที่เก็บกักเอาไว้ในชั้นไขมันไต้ผิวหนังนั่นหละครับ พวกเขาจะมองหาโพรงหรือถ้ำหรือรูโดยที่พวกเขาจะทิ้งตัวลงนอนอยู่ภายในนั้นตลอดหลายเดือนแห่งการจำศีลนั่นเลยทีเดียว
สัตว์บางชนิดจะจำศีลโดยมีการตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวเพื่อรับประทานของว่างที่พวกเขาได้ตระเตรียมไว้เคลื่อนไหวตัวอยู่ภายในโพรงและจะกลับไปสู่ภาวการณ์จำศีลเหมือนเดิม
Torpor คือการจำศีลเทียมในระยะสั้นๆ เป็นภาวะการนอนหลับที่คล้ายกับการณ์จำศีล พวกสัตว์จะมีอุณหภูมิในร่างกายที่ลดลงเช่นกัน หัวใจก็เต้นช้าลง แต่พวกเขาจะสามารถลุกตื่นขึ้นมาและขยับเดินไปรอบๆที่พักของพวกเขาเองได้ กระบวนการจะนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆเช่น ค้างคาวบางชนิดจะออกหาอาหารและตื่นตัวในเวลากลางคืนแต่จะกลับมานอนสงบนิ่งที่รังในตอนกลางวัน และพวกเขาก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการการจำศีลเทียมเพื่อการสะสมพลังงานของร่างกายไว้ใช้ในวันต่อไปนั่นเอง กระบวนการนี้เกิดขึ้นตลอดฤดูหนาวในแถบภูมิภาคที่มีอากาศในฤดูหนาวที่หนาวมากๆ
ที่มา
http://www.krabork.com
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=289962
เว็บบล๊อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองกับการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านทางอินเตอร์เน็ต สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาเป็นหลัก แต่อาจจะรวมทั้งรักเรียนทุกระดับชั้นที่ต้องการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่ใช้ประกอบการทำรายงานและเพิ่มเติมความรู้นอกเหนือจากห้องเรียน
วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ฮือฮา พบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพันธุ์ใหม่หน้าตาประหลาด คล้าย"ไส้เดือนผสมงู" ในอินเดีย
ฮือฮา พบสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำพันธุ์ใหม่หน้าตาประหลาด คล้าย"ไส้เดือนผสมงู" ในอินเดีย
คณะนักวิทยาศาสตร์ค้นพบตระกูลสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำไร้ขาพันธุ์ใหม่ ที่มีหน้าตาคล้ายงูและไส้เดือน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
สัตว์สายพันธุ์ดังกล่าว ซึ่งเมื่อมองในครั้งแรกมีความคล้ายคลึงกับไส้เดือนเป็นอย่างมาก ถูกขุดพบตามโคลนดินที่อยู่ในป่า และมีความใกล้ชิด กับสัตว์สกุลซีซิเลียน (Caecilians) หรือสัตว์พวกเขียดงู หรือชื่อเดิมคืองูดิน จัดเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกไม่มีเกล็ด ที่อาศัยอยู่ในเขตร้อนของทวีปอเมริกาใต้ ทวีปแอฟริกา และเอเชียใต้ โดยเพศเมียจะคอยฟักไข่เป็นเวลา 2-3 เดือนโดยไม่กินอะไรเลย
คณะนักวิทยาศาสตร์ออกวิจัยเป็นเวลา 5 ปีตามพื้นที่ห่างไกลในรัฐสิกขิม อรุณาจัลประเทศ และนาคาแลนด์จนพบสัตว์ในกลุ่มซีซิเลียนไร้ขาผิวหนังเรียบลื่น ขนาดลำตัวยาว 8 นิ้ว อาศัยอยู่ในดินชุ่มชื้นหรือขุดโพรงอยู่ในชั้นใต้ดิน
ศ.เอส.ดี บิจู แห่งมหาวิทยาลัยเดลีของอินเดีย ซึ่งเป็นหัวหน้าโครงการร่วมกับทีมวิจัยจากอังกฤษและเบลเยียม กล่าวว่า หลังการค้นพบ ไม่สามารถระบุได้ว่ามันอยู่ในสปีชีส์, สกุล หรือวงศ์ใด แต่หลังจากการวิเคราะห์ด้านสัณฐานวิทยา และดีเอ็นเอแล้ว ยืนยันได้ว่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำตระกูลใหม่ ซึ่งถือเป็นสัตว์ตระกูลซีซิเลียนพันธุ์ที่ 10 ซึ่งแยกมาจากสัตว์สกุลที่ใกล้ที่สุดที่อาศัยในแอฟริกาเมื่อกว่า 140 ล้านปีก่อน โดยได้รับการตั้งชื่อตามภาษาท้องถิ่นว่า "Chikilidae" ซึ่งดัดแปลงมาจากภาษากาโร ที่ใช้เรียกมันในเขตที่มีการค้นพบ
เขากล่าวว่าการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยเป็นปัญหาคุกคามของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั่วโลก ซึ่งการค้นพบครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า เราต้องช่วยกันปกป้องสิ่งแวดล้อมเพื่อรักษาธรรมชาติเอาไว้ ซึ่งภัยคุกคามของมันก็คือ ชาวบ้านที่ฆ่ามันเพราะคิดว่าเป็นงูพิษ
นักวิทยาศาสตร์เผยว่า สัตว์จำพวกนี้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างยิ่ง เนื่องมาจากการเติบโตของประชากรและพื้นที่เมือง รวมถึงการเพาะปลูกและเผาพื้นที่เกษตรกรรม นอกจากนั้น พวกมันยังเป็นสัตว์ที่สังเกตเห็นได้ยาก เนื่องจากมักจะอาศัยอยู่ในพื้นดินหรือไม่ก็เศษซากใบไม้ที่จมอยู่ในโคลน
ยอมให้ลูกกินผิวหนังตนเองเป็นอาหาร
เขียดงู (อังกฤษ: Caecilian, อันดับ: Gymnophiona) เป็นอันดับของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอันดับหนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Gymnophiona
มีลักษณะโดยรวมของรูปร่าง คือ ลำตัวเรียวยาวคล้ายงูหรือปลาไหล มีทั้งอาศัยอยู่บนบก ในโพรงดิน และในน้ำ โดยลดรูปโครงสร้างหลายประการซึ่งเป็นลักษณะที่พบกับสัตว์ที่มีลำตัวเรียวยาวหรืออาศัยอยู่ในโพรง กล่าว คือ หางมีขนาดเล็กมากหรือไม่มีเลย ไม่มีรยางค์ขาหรือฐานรยางค์ แต่ในสกุล Eocaecilia ที่เป็นซากดึกดำบรรพ์มีรยางค์ขา ตามีขนาดเล็กและบางชนิดอยู่ในร่องของกระดูกกะโหลกและถูกชั้นหนังปกคลุมไว้ ปอดข้างซ้ายมีขนาดเล็กหรือไม่มี ขณะที่บางวงศ์ที่อาศัยอยู่ในน้ำจะไม่มีปอด บางชนิดมีเกล็ดฝังตัวอยู่ในร่องที่แบ่งลำตัวเป็นปล้อง การปฏิสนธิเกิดขึ้นภายใน โดยตัวผู้จะมีอวัยวะถ่ายอสุจิเจริญจากผนังของห้องทวารร่วม บางชนิดวางไข่ในน้ำ และมีระยะเวลาของวัยอ่อนและบางชนิดวางไข่บนบกโดยไม่มีระยะวัยอ่อน ตัวเมียมีพฤติกรรมเฝ้าไข่ แต่เขียดงูส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 75 ออกลูกเป็นตัว วัยอ่อนภายในท่อนำไข่ได้รับสารอาหารจากสิ่งผลิตภายในท่อนำไข่
มีลักษณะเด่น คือ ลำตัวเป็นปล้อง ปล้องของลำตัวโดยทั่วไปมีจำนานเท่ากับจำนวนปล้องของกระดูกสันหลัง แต่บางชนิดอาจมีปล้องลำตัวจำนวนสองปล้องหรืออาจจะถึงสามปล้องต่อกระดูกสันหลังหนึ่งปล้อง โดยปล้องลำตัวปฐมภูมิเจริญขึ้นมาก่อนต่อจากนั้นจึงมีปล้องลำตัวทุติยภูมิหรือปล้องลำตัวตติยภูมิเจริญขึ้นมาเป็นลำดับต่อมา เกล็ดของเขียดงูประกอบด้วยคอลลาเจนหลายชั้นเรียงซ้อนกันและฝังตัวอยู่ในร่องตรงส่วนลึกที่สุดของปล้องลำตัวปฐมภูมิ โดยเรียงเป็นลำดับต่อเนื่องกันในแนวเฉียง
กะโหลกของเขียดงูมีชิ้นของกระดูกยึดติดกันแข็งแรงและส่วนใหญ่ไม่มีช่องเปิดที่กะโหลก นอกจากช่องเปิดของอวัยวะรับความรู้สึก ได้แก่ ตา, จมูก, หนวด ในบางวงศ์มีช่องเปิดบริเวณขมับ กระดูกกะโหลกจึงขยับได้บ้าง ฟันที่ขากรรไกรบนอยู่บนกระดูกพรีแมคซิลลา กระดูกแมคซิลโลพาลาทีนและกระดูกโวเมอร์ มีอวัยวะรับรู้จำเพาะ คือ อวัยวะที่แลดูคล้ายหนวด ที่เจริญขึ้นมาจากช่องเปิดที่อยู่ระหว่างตากับช่องเปิดจมูก ตำแหน่งของช่องเปิดหนวดแตกต่างกันในแต่ละชนิด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการอนุกรมวิธาน สัดส่วนความยาวของหนวดที่โผล่พ้นช่องเปิดออกมาก็แตกต่างกันในแต่ละวงศ์ โดยหนวดเป็นโครงสร้างเชิงซ้อนประกอบด้วยกล้ามเนื้อ, ต่อม และท่อ การเจริญของหนวดสัมพันธ์กับตาและอวัยวะจาคอบสัน ซึ่งทำหน้าที่รับรู้สารเคมี
เขียดงูแบ่งออกได้เป็นทั้งหมด 6 วงศ์ (ในขณะที่บางข้อมูลแบ่งเพียง 3 วงศ์)โดยใช้หลักการแบ่งทางรูปร่างโครโมโซมและลักษณะทางโมเลกุล และสันฐานวิทยา โดยมีทั้งหมดราว 174 ชนิด ใน 33 สกุล กระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตร้อน ยกเว้นบนเกาะมาดากัสการ์และทางตะวันออกของเส้นสมมติวอลเลซ ในประเทศไทยพบได้ 1 วงศ์ เช่น เขียดงูเกาะเต่า (Ichthyophis kohtaoensis) เป็นต้น
การจำแนก (วงศ์)
- Rhinatrematidae
- Ichthyophiidae
- Uraetyphidae
- Scolecomorphidae
- Caecililidae
- Typhlonectidae
ส่วนหน้าของเขียดงูไม่ทราบชนิด (Ichthyophis sp.) ในวงศ์เขียดงู (Ichthyophiidae)
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร : Animalia
ไฟลัม : Chordata
ชั้น : Amphibia
ชั้นย่อย : Lissamphibia
อันดับ : Gymnophiona
ที่มาข้อมูล
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1329911682&grpid=01&catid=&subcatid=
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%87%E0%B8%B9
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)