วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การจำศีลของสัตว์

 ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดที่ทราบ หรือมีประสบการณ์โดยตรงกับความลึกลับอีกอย่างหนึ่ง  คือเรื่องประหลาดเกี่ยวกับกบซึ่งดูเหมือนจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นเวลานานทั้งๆ  ที่จำศีลอยู่ในก้อนหิน 
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ได้มีข่าวปรากฏอยู่เสมอว่าพวกกรรมกรขุดถ่านหินหรือคนงานที่ทำงานอยู่ในบ่อถ่านหิน  ขณะที่ทำการระเบิดหินหรือขุดถ่านหินขึ้นมาจากบ่อบางครั้งก็จะมีกบหรือคางคกกระโดดออกมา 

ตัวอย่างที่เห็นจริงจังรายหนึ่งเดี่ยวกับ  “กบที่จำศีลในโพรงหิน”  คือเมื่อนักธรณีวิทยาชาวอังกฤษชื่อ ดร.แจ๊ค  เทรียกัส (DR.JACK  TREAGUS) แห่งมหาลัยแมนเซสเตอร์เป็นผู้ค้นพบและที่  ไวท์วัทสัน  (WHITE WATSON)  นักธรณีวิทยาชาวอังกฤษผู้มีชื่อของมณฑลดาร์บี้เชียร์ (DERBYSHIRE)  บันทึกไว้รายงานประจำปี  1811 เข้าได้เขียนไว้ว่า “ในเมืองโบลสโสเวอร์ฟิลด์ (BOLSOVER FIELD) เมื่อปี  1795  ขณะที่พวกคนงานกำลังทุบหินปูนซึ่งมีน้ำหนักประมาณหนึ่งตันครึ่ง  ก็ได้พบคางคกตัวหนึ่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ฝังตัวอยู่ในก้อนหินปูนก้อนนั้น  แต่เมื่อมันถูกเอาออกมาจากโพรงหินแล้ว  มันก็ได้เสียชีวิตทันที”  รายงานอีกฉบับหนึ่งเกี่ยวกังคางคก  ซึ่งถูกตั้งชื่อว่าโอลด์ริพ (OLD  RIP) ซึ่งดูเหมือนจะยังมีช๊วิตอยู่หลังจากที่ได้ฝังตัวอยู่ในหินที่เป็น  “ศิลาฤกษ์”  ของที่ทำการศาลแห่งหนึ่งในเมืองเชนแน็คทาดี้  (SCHENECTADY)  มาเป็นเวลากว่า  30 ปี

ด้วยความฉงนฉงายเมื่อได้อ่านรายงานทำนองนี้  นักธรรมชาติวิทยาผู้มีชื่อเยงชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ  ดร.  วิลเลี่ยม  บัคแลนด์ (DR WILLIAM  BUCKLAHD)  ได้นำเดินการทดลองเพื่อหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วยกรรมวิธีที่ค่อนข้างจะวิตถาร  ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 1875  ดร. บัคแลนด์ได้ทำการฝังตัวคางคกจำนวน 24 ตัว  ไว้ในช่องเล็กๆซึ่งผนึกอย่างเรียบร้อยโดยบางตัวไปตามช่องหินปูนที่ปิดทึบและบางตัวก็ผนึกไว้ในช่องหินปูนเหล่านั้น  เป็นเวลากว่าปีคือเมื่อวันที่  10  ธันวาคม  1976  คางคกทั้งหมดที่ถูกผนึกอยู่ในช่องหินปูนที่แน่นทึบนั้นตายหมด  และใด้ตายไปแล้วเป็นเวลาตั้งหลายเดือน  แต่คางคกบางตัวที่ถูกผนึกอยู่ในช่องหินปูนที่มีรุเล็กๆพรุนอยู่นั้นยังมีชีวิตอยู่  ถึงแม้ตอนหลังจะตายเพราะทดอาหาร  เมื่อมันต้องถูกนำไปผนึกอยู่ในช่องหินปูนต่อไปอีกหนึ่งปีในนามวิทยาศาสตร์  คางคกบางตัวซึ่งถุกนำไปฝังไว้ในโพรงของต้นแอบเปิ้ล  และอุดปากโพรงหินโดยไม่มีอากาศเลยเป็นเวลาถึงหนึ่งปีได้และก็เป็นที่แน่นอนว่ามันไม่อาจจะทนอยู่ถึง 2ปี  โดยไม่ได้กินอาหารได้  ดร.บัคแลนด์เขียนไว้ว่า
“…..ข้าพเจ้าคิดว่า  เราอาจจะได้พบคำตอบของปรากฏการณ์ทำนองนี้ได้จากการศึกษาสังเกตนิสัยของสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้  และรวมทั้งพวกแมลงต่างๆ  ที่เป็นอาหารของมันด้วยความพยายามขั้นแรกของลูกคางคก  ทันทีมันพ้นจากสถาวะของลูกอ๊อด  และโผ่ลขึ้นมาจากน้ำแต่ละตัวเมื่อยังมีขนาดเล้กอยู่อาจจะเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรงหิน  โดยแทรกตัวเข้าไปตามรูหรือรอยแตกเล็กๆ  และเมื่อเข้าไปในโพรงหิน  โดยแทรกตัวเข้าไปตามรุหรือรอยแตกเล็กๆ  และเมื่อเข้าไปอาศัยอยู่ในโพรงหิน  โดยแทรกตัวเข้าไปตามรูหรือรอยแตกเล็กๆ  และเมื่อเข้าไปในโพรงหินนั้นแล้วมันก็อาจจะได้พบสิ่งที่มันสามารถกินเป็นอาหารได้เป็นจำนวนมาก  เพราะแมลงเล็กๆ เหล่านี้ก็ได้เข้าไปหลบอยู่ในโพรงหินนั้นด้วยวัตถุประสงค์แบบเดียวกับลูกคางคกเหมือนกัน  เมื่อมีอาหารสมบูรณ์เช่นั้นในไม่ช้า  คางคกเหล่านี้ก็จะเติบโตขึ้นจนไมสามารถจะออกทาจากรอยแยก  หรือรูเล็กๆที่มันเข้าไปเมื่อตอนแรกได้อีก  พวกคนงานที่ไปพบคางคกถูกฝังอยู่ในหินอาจจะไม่ได้สังเกตว่าหินนั้นมีรู  หรือรอยแตกอยู่ก็ได้  เพราะพวกเขาก็เป็นพวกเดียวที่ทำงานประเภทนี้  และเป็นผู้ที่พบคางคกฝังอยู่ในโพรงหิน  หรือโพรงไม้นั้น”

คำชี้แจงเช่นนี้น่าจะเป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างยิ่งเกี่ยวกับคางคก  ที่ถูกแปรสภาพเป้นเหมือนซากอาบยาที่มีตัวอย่างเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองไบรทตัน (BRIGHTON  MUSEUM) ซึ่งเป็นหัวเมืองตากอากาศชายทะเลของประเทศอังกฤษ  พร้อมไปด้วยโพรงหินที่มันได้เข้าไปจำศีลอยู่เหตุที่มันถูกค้นพบก็เมื่อคนงานสองคนได้พบก้อนหินขนาดเบา  ที่มีลักษณะประหลาดก้อนหึ่งที่เมืองลิวเวส (LEWES) และได้ก่อให้เกิดความตื่นเต้นไม่ใช่น้อยในตอนนั้น  มันอาจจะเป็นตัวอย่างเพียงเดียวที่รู้จักเกี่ยวกับ “คางคกที่เข้าไปจำศีลอยู่ในก้อนหิน”  ที่อยุ่ในความครอบครองของมนุษย์ละก็เป็นการพิสูจน์ว่า  ข่าวลือเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่มีมูล  อันที่จริงหลังจากที่มีพอเจ้าคางคกที่กลายเป็น  “มัมมี่”  ตัวนี้เข้า  นักวิทยาศาสตร์ที่ไปทำการตราวจสอบเรื่องนี้ก็ได้พบรูเล็กๆ รูหนึ่งอยู่ตรงปลายด้านหนึ่งของหินก้อนนั้น  ซึ่งต่อมารูเล็กๆนี้ก้มีโคลนของหินช็อล์คเข้าไปอุดจนตันไปหมด

หลักการคร่าวๆก็คือพวกสัตว์เลือดเย็น-เลือดอุ่น รวมทั้งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แมลงและนกบางชนิดมีการปรับตัวเพื่อเผชิญกับฤดูหนาวโดยการสะสมอาหาร(กินเผื่อไว้เยอะๆ)หาที่สงบปลอดภัย แล้วทิ้งตัวลงนอนนิ่งๆในนั้นจนกว่าอากาศข้างนอกจะเริ่มอุ่นขึ้นพวกเขาก็จะตื่นและทยอยออกมาเริ่มต้นชีวิตกันใหม่

สัตว์ที่จำศีลจะแตกต่างกับสัตว์ที่นอนหลับ สัตว์ที่นอนหลับนั้นร่างกายของพวกเขาจะขยับบ้างเป็นบางครั้งและสมองก็จะสั่งงานตามปกติ สัตว์ที่นอนหลับสามารถที่จะตื่นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

การจำศีลของสัตว์นั้นมีอยู่สองชนิดคือ

True Hybernator คือการจำศีลจริง ลักษณะการจำศีลของสัตว์พวกที่จำศีลจริงนี้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการตายมากเพราะว่าจังหวะการเต้นของหัวใจของพวกเขาจะเต้นช้าลงๆ และอุณหภูมิในร่างกายของพวกเขาก็จะลดลงใกล้เคียงกับอุณหภูมิภายนอกอย่างมาก การหายใจก็จะเป็นไปอย่างช้าๆแผ่วเบา  สัตว์เหล่านั้นต้องการใช้เวลานานมากในการตื่นขึ้นและขยับตัวเพื่อกลับคืนสู่สภาวะปกติ สัตว์บางจำพวกเช่น หมี ไม่มีการจำศีลแบบ True Hybernator นี้

ในช่วงปลายหน้าร้อน หรือฤดูใบไม้ผลิ สัตว์ที่จะทำการจำศีลนี้จะต้องออกหากินบ่อยพวกเขาจะต้องตระเตรียมกินอาหารจำนวนมากเพื่อกักตุนเอาไว้ ช่วงที่พวกเขาจำศีลร่างกายของพวกเขาจะอยู่ได้ก็โดยธาตุอาหารที่เก็บกักเอาไว้ในชั้นไขมันไต้ผิวหนังนั่นหละครับ พวกเขาจะมองหาโพรงหรือถ้ำหรือรูโดยที่พวกเขาจะทิ้งตัวลงนอนอยู่ภายในนั้นตลอดหลายเดือนแห่งการจำศีลนั่นเลยทีเดียว
สัตว์บางชนิดจะจำศีลโดยมีการตื่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวเพื่อรับประทานของว่างที่พวกเขาได้ตระเตรียมไว้เคลื่อนไหวตัวอยู่ภายในโพรงและจะกลับไปสู่ภาวการณ์จำศีลเหมือนเดิม

Torpor คือการจำศีลเทียมในระยะสั้นๆ เป็นภาวะการนอนหลับที่คล้ายกับการณ์จำศีล พวกสัตว์จะมีอุณหภูมิในร่างกายที่ลดลงเช่นกัน หัวใจก็เต้นช้าลง แต่พวกเขาจะสามารถลุกตื่นขึ้นมาและขยับเดินไปรอบๆที่พักของพวกเขาเองได้ กระบวนการจะนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆเช่น ค้างคาวบางชนิดจะออกหาอาหารและตื่นตัวในเวลากลางคืนแต่จะกลับมานอนสงบนิ่งที่รังในตอนกลางวัน และพวกเขาก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการการจำศีลเทียมเพื่อการสะสมพลังงานของร่างกายไว้ใช้ในวันต่อไปนั่นเอง กระบวนการนี้เกิดขึ้นตลอดฤดูหนาวในแถบภูมิภาคที่มีอากาศในฤดูหนาวที่หนาวมากๆ






ที่มา
http://www.krabork.com
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=289962