วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ฟอสซิล “ฝูงวาฬปริศนา” โผล่กลางทะเลทราย

ฟอสซิล “ฝูงวาฬปริศนา” โผล่กลางทะเลทราย


แคธาลีนา แพรอท (Catalina Parot) รัฐมนตรีสมบัติชาติชิลี (ผู้หญิงใช้ไม้เท้า) ชมตัวอย่างฟอสซิลวาฬที่ขุดพบ (ภาพประกอบทั้งหมดจากเอพี)


กว่า 2 ล้านปีก่อน ฝูงวาฬจำนวนมากได้มาออกันที่ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกทางอเมริกาใต้ และพบจุดจบปริศนาที่นั่น พวกมันอาจหลงทางและเกยตื้น หรือพวกมันอาจติดอยู่ในทะเลสาบเนื่องจากดินถล่มหรือพายุ หรือพวกมันอาจตายที่นั่นมานกว่า 2-3 พันปี หรือบางทีพวกมันอาจตายลงในที่ไม่ห่างจากตัวอื่นในฝูงเพียงไม่กี่เมตร แต่สุสานตรงพื้นทะเลถูกแรงยกทางธรณีวิทยาดันขึ้นมาแล้วแปรสภาพเป็นสถานที่อันแห้งแล้งที่สุดบนโลก

มาถึงวันนี้ซากวาฬเหล่านั้นได้โผล่ออกมาให้เห็นอีกครั้งบนยอดเนินของทะเลทรายอะทาคามา (Atacama Desert) ซึ่งเอพีระบุว่า นักวิจัยทั้งหลายได้เริ่มต้นขุดฟอสซิลของวาฬก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งถูกเก็บในสุสานเก็บรักษาซากได้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยนักวิทยาศาสตร์ของชิลีได้ทำงานร่วมกับนักวิจัยจากสถาบันสมิทโซเนียน (Smithsonian Institution) สหรัฐฯ เพื่อศึกษาว่า วาฬเหล่านี้มาอยู่ในมุมของทะเลทรายดังกล่าวได้อย่างไร

“นั่นเป็นคำถามสำคัญ” มาริโอ ซอเรซ (Mario Suarez) ผู้อำนวยการจากพิพิธภัณฑ์บรรพชีวินวิทยา (Paleontological Museum) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงของชิลีประมาณ 700 กิโลเมตรกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า วาฬก่อนประวัติศาสตร์อื่นๆ ถูกพบอยู่รวมกันในเปรูและอียิปต์ แต่ฟอสซิลของวาฬโบราณในชิลีกลับโผล่ออกมาพร้อมกับจำนวนอันน่าฉงนและกระดูกที่ถูกเก็บรักษาไว้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงตอนนี้มีวาฬมากกว่า 75 ตัวแล้วที่ถูกขุดพบ ในจำนวนนั้นเป็นโครงกระดูกที่สมบูรณ์มากกว่า 20 โครงกระดูก ซึ่งโครงกระดูกเหล่านี้ได้ฉายให้เห็นภาพชีวิตแห่งท้องทะเลในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งอาจจะรวมถึงกลุ่มครอบครัวที่มีลูกวาฬอยู่ระหว่างวาฬเต็มวัย 2 ตัว

“ผมคิดว่ามันน่าจะตายพร้อมกันในจำนวนมากกว่าหรือน้อยกว่านี้” นิโคลัส เพียนสัน (Nicholas Pyenson) ภัณฑารักษ์ด้านฟอสซิลสัตว์เลี้ยงลุกด้วยนมทางทะเลจากพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิทโซเนียน (Smithsonian's National Museum of Natural History) ซึ่งร่วมกับซอเรซทำการวิจัยครั้งนี้กล่าว แต่เหตุใดจึงมีวาฬมาตายในที่เดียวกันมากขนาดนี้เพียนสันให้ความเห็นว่ามีความเป็นไปได้หลายอย่าง ซึ่งเขาและทีมพยายามตรวจสอบในข้อสันนิษฐาน

ฟอสซิลเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเมื่อเดือน มิ.ย.53 ระหว่างโครงการขยายทางหลวง ซึ่งโครงการนี้ยังดำเนินต่อไปอยู่ ส่วนบริเวณที่พบฟอสซิลข้างทางหลวงตอนนี้มีพื้นที่เทียบเท่าสนามฟุตบอล 2 สนาม หรือประมาณความยาว 240 เมตร กว้าง 20 เมตร

เพียนสันกล่าวว่า ครั้งหนึ่งนั้นจุดดังกล่าวมี “สภาพแวดล้อมคล้ายทะเลสาบ” และวาฬเหล่านั้นอาจจะตายในช่วงเวลาระหว่าง 2-7 ล้านปีก่อน โดยฟอสซิลส่วนใหญ่เป็นของ “วาฬกรองกิน” (baleen whale) ซึ่งมีความยาวประมาณ 8 เมตร และทีมวิจัยยังพบโครงกระดูกของวาฬหัวทุย (sperm whale) และซากของโลมาที่ตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว โดยโลมาดังกล่าวมีงา 2 ข้างคล้ายสิงโตทะเล และก่อนหน้านี้เคยพบโลมาดังกล่าวในเปรูเท่านั้น

“เราตื่นเต้นมากกับเรื่องนี้ มันเป็นสัตว์ที่แปลกประหลาดมาก” เพียนสันกล่าว และยังมีสัตว์แปลกๆ พบในทะเลทรายอะทาคามานี้อีก ซึ่งรวมถึงหมีสลอธน้ำ (aquatic sloth) ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และนกทะเลที่มีปีกกว้าง 5 เมตร ซึ่งใหญ่กว่าแร้งขนาดใหญ่

ทางด้าน เอริช ฟิตซ์เจรัลด์ (Erich Fitzgerald) นักบรรพชีวินวิทยาสัตว์มีกระดูกสันหลังจากพิพิธภัณฑ์วิคตอเรีย (Museum Victoria) ในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ให้ความเห็นแก่เอพีว่า การค้นพบล่าสุดนี้สำคัญอย่างยิ่ง ฟอสซิลเหล่านั้นถูกเก็บรักษาไว้อย่างยอดเยี่ยมและค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการผสมผสานกันที่หาได้ยากในบรรพชีวินวิทยา และเป็นสิ่งที่จะเผยให้เห็นหลายมุมมองของนิเวศวิทยาและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต และบอกด้วยว่าเป็นไปได้ที่ฟอสซิลซึ่งหลงเหลืออยู่นี้อาจจะสะสมในช่วงเวลาที่ต่อเนื่องกันมานาน

ส่วน ฮันส์ เธวิสสัน (Hans Thewissen) ศาสตราจารย์ด้านกายวิภาคและผู้เชี่ยวชาญด้านวาฬยุคดึกดำบรรพ์ จากมหาวิทยาลัยการแพทย์นอร์ธอีสต์โอไฮโอ (Northeast Ohio Medical University) เห็นด้วยกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลีย แต่เขากล่าวถึงอีกแนวทางที่เป็นไปได้นั่นคือวาฬอาจมารวมกันในทะเลสาบขนาดใหญ่ แล้วเกิดแผ่นดินไหวหรือพายุที่ปิดสามารถอุดทางออกของมหาสมุทรทั้งหมดได้ จากนั้นทะเลสาบก็เริ่มแห้งและวาฬก็ตาย เขายังพูดอีกว่าการสะสมของกระดูกที่สมบูรณ์จำนวนมากนี้เป็นสิ่งที่ไม่พบได้บ่อยนัก

“หากเหตุการณ์นี้เป็นผลจากทะเลสาบแห้งเหือดแล้ว คุณจะต้องเห็นสิ่งที่บ่งชี้ว่าน้ำในมหาสมุทรระเหยไป อย่างเช่นการตกผลึกของเกลือหรือยิปซัมในหิน หรืออีกแง่หนึ่งหากคลื่นยักษ์หรือพายุที่ซัดวาฬไปติดชายหาด ขณะเดียวกันก็ดันพื้นทะเลที่อยู่รอบๆ และคุณจะต้องเห็นรอบขุดบนหิน” เธวิสสันซึ่งไม่มีส่วนร่วมในงานวิจัยนี้กล่าว

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการระบุอายุฟอสซิลนั้นเป็นเรื่องซับซ้อน และเป็นเรื่องยากในการแยกเวลาที่แน่ชัดพอที่จะประเมินวาฬทั้งหมดนั้นตายในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งนี้ ฟอสซิลส่วนมากได้ถูกขนส่งไปยังพิพิธภัณฑ์ที่ซอเรซทำงาน ซึ่งเขาบอกด้วยว่าทีมวิจัยของเขาทำงานอย่างเร่งรีบอยู่ในกระโจมเพื่อเก็บข้อมูลโครงกระดูกที่สมบูรณ์ และด้วยทุนวิจัยจากสมาคมเนชันนัลจีโอกราฟิก (National Geographic Society) ทางทีมวิจัยสมิทโซเนียนได้ใช้เทคนิคการถ่ายภาพที่ซับซ้อนและเครื่องสแกนเลเซอร์เพื่อจับภาพ 3 มิติของวาฬ ซึ่งสามารถนำไปสร้างแบบจำลองขนาดของวาฬขณะที่มีชีวิต

ซอเรซนั้นทราบเรื่องเกี่ยวกับกระดูกวาฬโบราณทางตอนเหนือเมืองคัลเดอราของชิลีมากนาน โดยฟอสซิลเหล่านั้นเห็นได้จากที่โผล่ออกจากสันเขาหินทรายขนาบเส้นทางหลวงตรงจุดที่เรียกว่า “เซอร์โรบัลเลนา” (Cerro Ballena) หรือ เนินเขาวาฬ (Whale Hill) และเมื่อโครงการขยายถนนเริ่มต้นเมื่อปีที่ผ่านมา ทางบริษัทรับเหมาก็ขอให้เขาไปตรวจดูการทำงานเพื่อช่วยป้องกันการทำลายฟอสซิล

“ในสัปดาห์แรกนั้นกระดูกวาฬ 6-7 โครงก็ปรากฏขึ้น เราจึงตระหนักว่าบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่พิเศษจริงๆ” ซอเรซกล่าว

ทางด้านรัฐบาลชิลีเองได้ประกาศให้พื้นที่ขุดฟอสซิลดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ต้องได้รับการปกป้อง ซึ่งเพียนสันนักวิจัยชิลีหวังว่าจะมีการสร้างพิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงโครงกระดูกที่ไม่เสีย ณ ตำแหน่งที่ฟอสซิลนั้นอยู่ ในรูปแบบเดียวกับการจัดแสดงฟอสซิลที่อนุสาวรีย์ไดโนเสาร์สหรัฐฯ (Dinosaur National Monument) ในยูทาห์และโคโลราโด สหรัฐฯ

ซอเรซเชื่อว่าอาจยังมีฟอสซิลของวาฬอีกหลายร้อยที่รอการขุดพบ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากพอให้เขาทำงานที่จุดเดียวนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ และพวกด้วยว่า พวกเขาได้รับโอกาสพิเศษในการพัฒนาโครงการทางวิทยาศาสตร์อันยิ่งใหญ่และสร้างผลงานที่สำคัญยิ่งให้แก่วงการวิทยาศาสตร์







ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000148603